ศาสตร์แห่งการเล้าโลม (Foreplay) จากภายนอกสู่ภายใน

การเล้าโลม

เรื่องนี้มีที่มาจากการที่ได้ดูภาพยนตร์เก่าเรื่อง The Holiday (2006) ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ลงฉายใน Netflix ทำให้หลายๆ คนได้กลับมาดูกันอีกครั้ง ทีนี้มันมีฉากหนึ่งค่ะ ตอนที่พระเอกคือJude Law ถามนางเอกคือ Cameron Diaz ว่าชอบการโหมโรง หรือ Fore-play หรือเปล่า แล้วนางเอกตอบว่า “I think it’s overrated” พระเอกตอบว่า “Suddenly you’ve become one of the most interesting women on earth”

จากบทสนทนา เราได้มุมมองเกี่ยวกับเรื่องการเล้าโลมหรือ Foreplay ว่าผู้หญิงส่วนใหญ่ชอบมากกว่าผู้ชาย ซึ่งหากสอบถามคนรอบๆ ข้าง ก็พบว่าจริงๆ มันคงไม่เสมอไป ผู้ชายบางคนก็เอนจอยกับกิจกรรมนี้ได้เหมือนกัน แค่อาจจะพูดได้ว่า

การเล้าโลมคืออะไร?

การเล้าโลม (Foreplay) คือกิจกรรมทางเพศที่เกิดขึ้นก่อนเริ่มการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งเป็นการกระตุ้นร่างกายและอารมณ์ของคู่รัก เช่น การจูบ การลีลาศ การสัมผัสที่ได้แก่ผิวหนัง และกิจกรรมทางเพศอื่นๆ ที่ช่วยเพิ่มความผ่อนคลายและความใกล้ชิดระหว่างคู่รักก่อนที่จะเข้าสู่การมีเพศสัมพันธ์

ถ้าเทียบสัดส่วนกันแล้ว ผู้หญิงอาจจะมีสัดส่วนที่ชอบเรื่องนี้มากกว่าเท่านั้น

  1. จริงหรือไม่ที่ผู้หญิงชอบ Foreplay มากกว่าผู้ชาย?
  2. เทคนิคการมัดใจฝ่ายหญิงด้วยการเล้าโลม?
  3. ถ้าอยากให้ฝ่ายชายเปลี่ยนใจบ้าง เรามีเทคนิคอย่างไร?
  4. ว่ากันตามเหตุผลทางการแพทย์บ้างค่ะ จริงๆ แล้วมีการศึกษาหรือมีงานวิจัยใดที่อธิบายประยชน์โทษไว้บ้างไหมคะว่ามันดีอย่างไร? ทำไมเราถึงไม่ควรมองข้าม

ตอบ มาสเตอร์ส และจอห์นสัน (Masters and Johnson) เป็นทีมนักวิจัย ผู้ร่วมกันคิดคันวงจรการตอบสนองทางเพศ (Sexual Respond Cycle) ตั้งแต่ ค.ศ. 1950 และยังใช้อ้างอิงกันมาถึงปัจจุบันใจความมีอยู่ว่า วงจรการตอบสนองทางเพศ เป็นการเปลี่ยนแปลงของร่างกายเมื่อมีการกระตุ้นความต้องการทางเพศ ไม่ว่าจะผ่านประสาทสัมผัส ร่างกาย ตา หู จมูก ลิ้น หรือทางจิตใจ

ในหญิงและชายการเปลี่ยนผ่านแต่ละระยะอาจจะไม่เรียงลำดับ ใช้เวลาไม่เท่ากันความรุนแรงต่างกัน ตอบสนองต่างกัน นอกจากนั้น ในเพศเดียวกันแต่ละคนก็ต่างกันบางคนอาจจะไม่ผ่านทุกระยะ หรือบางระยะอาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้

การเล้าโลม

ในหญิงและชายการเปลี่ยนผ่านแต่ละระยะแบ่งเป็น 4 ระยะ ได้แก่

1. ระยะกระตุ้นความต้องการ (Desire or Libido) ในชาย ความคิด ความฝัน ได้ยิน ได้กลิ่น เห็นภาพ การสัมผัส สามารถเข้าสู่ระยะนี้ได้โดยง่ายกว่าผู้หญิง ซึ่งส่วนใหญ่ต้องอาศัยการโลมเล้า ในช่วงนี้กล้ามเนื้อจะตึงตัว หัวใจเต้นเร็ว หน้าแดงร้อนผิวเนื้อผิวตัว ฝ่ายหญิงรู้สึกอวัยวะเพศบวมพองมีน้ำหล่อลื่น หัวนมตั้งชู ฝ่ายชายอัณฑะบวมตึง อวัยวะเพศชาย เริ่มแข็งตัวมีน้ำหล่อลื่น

2. ระยะปลุกเร้า (Arousal) เมื่อเกิดการกระตุ้นความต้องการทางเพศไปเรื่อยๆอาการในข้อ 1 จะรุนแรงมากขึ้น หัวใจเต้นเร็วมากขึ้น หายใจหอบ น้ำหล่อลื่นออกมากขึ้น อวัยวะเพศหญิง ปุ่มกระสันไวต่อการสัมผัส อวัยวะเพศชายแข็งตัวมากขึ้นพร้อมมีเซ็กซ์ และหลังอสุจิ

3. ระยะถึงจุดสุดยอด (Orgasm) ปลุกเร้าจนถึงขีดสุด เกิดกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานช่องคลอด และกล้ามเนื้อมัดอื่นๆ ของร่างกาย หดเกร็งกระตุก มีการปลดปล่อยความเครียดออกมากะทันหัน ฝ่ายชายเกิดการหลั่ง ฝ่ายหญิงกล้ามเนื้อช่องคลอดกระตุกเป็นจังหวะๆ

4. ระยะผ่อนคลาย (Resolution) ระยะนี้จะสุขสบาย กล้ามเนื้อทุกส่วนผ่อนคลายส่วนใหญ่จะรู้สึกเพลียและหลับไป

ดูจากระยะของการตอบสนองทางเพศ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ให้ความเห็นว่าเป็นความจริงที่ผู้หญิงต้องการการโลมเล้ามากกว่าชาย จึงจะเข้าสู่ระยะการตอบสนองทางเพศ งานสำรวจในผู้หญิงมากกว่า 2,300 คน ของวารสาร Journal of Sexual Medicine ในปี ค.ศ.2008 พบว่าส่วนใหญ่ของผู้หญิงคิดว่าผู้ชายอาจให้ความสำคัญ (Overrated) กับการโลมเล้ามากเกินไป เพราะอันที่จริงความสุขทางเพศนั้นขึ้นอยู่กับการมีเซ็กซ์ที่มีคุณภาพอีกด้วย

นั่นคือ คำตอบของนางเอกในเรื่อง The Holiday สอดคล้องกับการสำรวจนี้ คือเธอคิดว่าการโลมเล้าหรือโหมโรง ถูกมองว่าสำคัญมากไป พระเอกจึงมองว่าเธอเป็นคนน่าสนใจที่สุดในโลก เพราะใครก็คิดว่าต้องโลมเล้าให้มากๆ

อย่างไรก็ตาม หญิงและชายจะถึงจุดสุดยอดง่ายขึ้นหากมีการโลมเล้าที่เหมาะสมและเพียงพอ และไม่ว่าการโลมเล้าหรือการมีเซ็กซ์ ผู้หญิงรู้สึกว่าผู้ชายใช้เวลาน้อยไป

การเล้าโลม

งานวิจัยพบว่า

ผู้หญิงต้องการการโลมเล้านานประมาณ 19 นาที ฝ่ายชายทำได้ประมาณ 11 นาที ต้องการการมีเซ็กซ์นาน 14 นาที ฝ่ายชายทำได้แค่ 7 นาที งานวิจัยในผู้หญิงชาวอียิปต์ จำนวน 200 คน เพื่อหาความสำคัญของการโลมเล้าพบว่าร้อยละ 33 ไม่มีความสุขจากการมีเซ็กซ์ แม้สามีร้อยละ 72 สนใจในการโลมเล้าแต่ที่โลมเล้าทุกครั้งเมื่อมีเซ็กซ์มีเพียงร้อยละ 50 โดยฝ่ายหญิงร้อยละ 51 โลมเล้าฝ่ายชายด้วยวิธีที่ฝ่ายชายใช้โลมเล้ามากที่สุดร้อยละ 64 คือกระตุ้นปุ่มกระสันของ ฝ่ายหญิง ขณะที่ฝ่ายหญิงชอบให้โลมเล้าโดยสัมผัสกอดรัด (Caressing) ร้อยละ 33 จูบ (Kissing) ร้อยละ 25 เลียอมอวัยวะเพศ (Oral) ร้อยละ 37

สรุปว่า การโลมเล้ามีความสำคัญต่อวงจรการตอบสนองทางเพศ ทำให้เกิดความต้องการ เกิดการปลุกเร้า ทำให้ถึงจุดสุดยอดง่ายขึ้น ผ่อนคลายได้มากขึ้น มีความสุขจากการมีเซ็กซ์สูงขึ้น

 

การโลมเล้าโดยทั่วไปไม่มีอันตรายหากไม่ทำแบบชาดิสม์ รุนแรง ในคนที่ไม่มีรสนิยมแบบนี้ การมองข้าม ไม่เห็นความสำคัญของ การโลมเล้า จะส่งผลทำให้ไม่มีความสุข ในการมีเซ็กซ์ ไม่อยากมีเซ็กซ์ ลดความผูกพันของสามีภรรยา ตามด้วยโรคเครียด ซึมเศร้า กลัวการมีเซ็กซ์ เจ็บปวดในขณะ มีเซ็กซ์สำหรับฝ่ายชาย งานวิจัยยืนยันว่าชายต้องการการโลมเล้าไม่ต่างจากฝ่ายหญิงโดยเฉพาะชายสูงวัย โดยทั่วไปทั้งสอง เพศใช้วิโลมเล้าไม่ต่างกัน แต่ฝ่ายหญิง มีความสุขในขณะโลมเล้าและหลังมีเซ็กซ์ มากกว่าฝ่ายชาย ซึ่งมีความสุขขณะมีเช็กซ์มากกว่าช่วงอื่นใด