การกินไวอากร้าเป็นสิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่งคือความรู้ในการกินที่ถูกต้อง เพราะแม้ว่าเราจะเลือกซื้อยาจากร้านไหนก็ตามที่เป็นผู้จ่ายยาให้ หากเรากินยาไม่ถูกวิธี ยาที่เรากินเข้าไปอาจไม่ออกฤทธิ์ ไม่เกิดผลอย่างเต็มประสิทธิภาพ ดังนั้นควรกินยาให้ถูกต้อง ดังนี้การใช้ยารักษาตนเองของคนไทย
สารบัญ
ความรู้ทั่วไปก่อนรับประทานไวอากร้า ให้เกิดผลอย่างเต็มประสิทธิภาพ
- กินยาไวอากร้าก่อนอาหาร : ควรกินก่อนรับประทานอาหาร 20 – 30 นาที
- ยาปลุกเซ็กส์ที่ต้องเคี้ยว : ควรเคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืน เพื่อผลลัพธ์การรักษาที่ดีที่สุด
- กินยาปลุกเซ็กส์ก่อนนอน : ควรกินก่อนเข้านอนเพื่อบำรุง 15 – 30 นาที
- กินยาปลุกเซ็กส์ก่อนกิจกรรม : ควรกินก่อนกิจกรรม 15 – 30 นาที
- ถูกคน, ถูกที่, ถูกเวลา : ก่อนกินยาต้องเคลียร์ให้ครบ
- ดื่มน้ำมาก : ยาปลุกเซ็กส์ควรดื่มน้ำมากเพื่อผลลัพธ์ที่ดีและลดโอกาสของผลข้างเคียง
- ไม่แบ่ง : ไม่ควรให้คนอื่นกินยาหรือกินยาที่ได้รับจากผู้อื่น
- ต้องเหมาะสม : ยาต้องเหมาะกับแต่ละบุคคล
- ตรวจสอบ : ไม่ควรกินยาที่แตก, เปลี่ยนสี, หรือมีกลิ่นผิดปกติ
- ประจำตัว : ไม่ควรกินยาปลุกเซ็กส์ในรูปแบบที่ดูเสื่อมสภาพหรือมีกลุ่มที่ดูแล้วเสื่อมสภาพ
วิธีกินให้ตรงตามเวลา
1. ยาก่อนอาหาร
ยาที่รับประทานก่อนอาหาร ควรรับประทานในช่วงที่ท้องว่าง ยังไม่ได้รับประทานอาหาร ซึ่งก็คือก่อนรับประทานอาหารอย่างน้อย 30 นาที ยกเว้นยาควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดบางตัวที่แนะนำให้ทานก่อนอาหารอย่างน้อย 15 นาที
ถ้าลืมรับประทานยาก่อนอาหาร ควรข้ามยามื้อที่ลืมไป แต่ถ้าเป็นยาที่รับประทานก่อนอาหารเพราะยาจะถูกทำลายหรืออาหารอาจลดการดูดซึมของยา
อาจรอให้กระเพาะอาหารว่างก่อนแล้วค่อยรับประทานยาก็ได้ ซึ่งก็คือประมาณ 2 ชั่วโมงหลังรับประทานอาหาร แต่ยาที่ต้องรับประทานในมื้อถัดไปอยู่แล้ว ให้ทานยาก่อนอาหารมื้อถัดไปแทนได้เลย ไม่ต้องทานยาซ้ำ
2. ยาหลังอาหาร
กินยาไวอากร้า หลังอาหาร ควรรับประทานหลังอาหารไม่เกิน 15-30 นาที
ถ้าลืมรับประทานยาหลังอาหาร สามารถรับประทานยาได้ทันทีที่นึกได้และไม่เกิน 15-30 นาที แต่ถ้านึกได้หลังจากรับประทานอาหารมากกว่า 30 นาทีแล้ว ควรรอรับประทานหลังอาหารในมื้อถัดไปแทน หรืออาจรับประทานอาหารมื้อย่อยแทนมื้อหลักก่อนรับประทานยาก็ได้ กรณีที่ยานั้นมีความสำคัญมาก
3. ยาหลังอาหารทันที
ควรรับประทานหลังอาหารทันที อาจทานพร้อมอาหารหรือก่อนรับประทานอาหารคำแรกก็ได้ เนื่องจากยามีผลข้างเคียงที่สำคัญคือ ระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหาร ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน การรับประทานพร้อมหรือหลังอาหารทันทีจะช่วยลดอาการเหล่านี้ได้
ถ้าลืมรับประทานยาหลังอาหารทันที ควรรอรับประทานหลังอาหารในมื้อถัดไปแทน หรืออาจรับประทานอาหารมื้อย่อยแทนมื้อหลักก่อนรับประทานยาก็ได้ กรณีที่ยานั้นมีความสำคัญมาก
4. ยาก่อนนอน
ยาที่แนะนำให้รับประทานก่อนนอนมีหลายประเภท แต่โดยทั่วไป ควรรับประทานก่อนนอน 15-30 นาที ถ้าลืมรับประทานยาก่อนนอน มักนึกได้เมื่อถึงเช้าของวันรุ่งขึ้นแล้ว ไม่ควรรับประทานยานั้นอีก ควรรอให้ถึงเวลาก่อนเข้านอนในคืนถัดไปค่อยรับประทานยานั้น
5. ยารับประทานเวลามีอาการ
ควรรับประทานเมื่อมีอาการ หากไม่มีอาการก็ไม่จำเป็นต้องรับประทานยา ยาในกลุ่มนี้ มักระบุในฉลากว่ารับประทานทุกกี่ชั่วโมงเวลามีอาการ เช่น ทุก 8 ชั่วโมง หรือทุก 12 ชั่วโมง เวลามีอาการ เป็นต้น เมื่อมีอาการสามารถรับประทานยาได้เลย
ไม่ต้องคำนึงถึงมื้ออาหาร เนื่องจากไม่ว่าจะรับประทานอาหารหรือไม่ ก็ไม่ส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หลังรับประทานยาแล้วถ้ายังมีอาการอยู่สามารถทานยาซ้ำได้ ตามระยะเวลาที่ระบุไว้ ไม่ควรรับประทานบ่อยกว่าที่ระบุไว้บนฉลาก เมื่อหายแล้วสามารถหยุดยาได้เลย
ยาที่เรากินเข้าไปรู้ได้อย่างไรว่าต้องไปรักษาที่ไหน?
ยาที่เรากินเข้าไปผ่านปาก ผ่านหลอดอาหาร (ทั้งยาเม็ดและยาน้ำ) นั้น ออกฤทธิ์รักษาถูกจุดได้อย่างไร กลไกในการทำงานของยาที่เข้าสู่ระบบทางเดินอาหารนั้นต่างกับการทำงานของยาที่เราใช้ทาภายนอก
โดยกระบวนการทำงานของยาที่ใช้ทาภายนอกร่างกาย เราสามารถกำหนดจุดที่แน่นอนได้ว่าจะทายาตรงไหน หากเราเป็นแผล เราก็จะใส่ยาบริเวณที่เราเป็นแผล เพื่อให้ฤทธิ์ยาช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดและสมานแผลให้หาย
แต่ยาที่เรานำเข้าสู่ร่างกายโดยการกินไวอากร้า ยาจะเดินทางเข้าสู่ระบบทางเดินอาหาร ในระหว่างเดินทางไปยังกระเพาะอาหารและลำไส้ ยาจะถูกดูดซึมเกือบทุกอวัยวะในระบบทางเดินอาหาร แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ยาแต่ละตัวมีคุณสมบัติทางเคมีต่างกัน
ดังนั้น สมบัติทางเคมีของยาจะเป็นตัวกำหนดว่ายาจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดที่บริเวณไหนมากกว่ากัน แต่ปกติแล้ว ยาทั่วๆ ไปจะดูดซึมได้ดีและหมดที่กระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก
ยาที่เข้าสู่ร่างกายโดยการกิน ไม่ว่าจะเป็นยาน้ำหรือยาเม็ด ยาจะละลายกลายเป็นโมเลกุลเล็ก ๆ แล้วผสมเข้ากับของเหลวในระบบทางเดินอาหาร จากนั้นบางส่วนจะซึมผ่านผนังของอวัยวะในระบบทางเดินทางอาหารก่อนที่จะเข้าสู่กระแสเลือด
จากนั้นตัวยาจะถูกลำเลียงไปพร้อมกับเลือดเพื่อเข้าสู่ตับ ซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญที่เกี่ยวข้องในการเปลี่ยนแปลงของยา
ยาที่ถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ยาจะกระจายไปตามเส้นเลือดที่แตกแขนงออกไปยังอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย ซึ่งส่วนประกอบของเลือดนั้นมีอยู่มากมาย แต่องค์ประกอบสำคัญๆ ได้แก่น้ำและโปรตีน
คุณสมบัติของยาบางตัวจะจับกับโปรตีนที่อยู่ในเลือด ในขณะที่ยาบางตัวมีองค์ประกอบทางเคมีที่ไม่จับกับโปรตีนในเลือด ยาจึงสามารถซึมออกมานอกเส้นเลือด เข้าสู่อวัยวะต่างๆ
การเปลี่ยนแปลงของการกินไวอากร้า
ยาเข้าสู่ร่างกาย ยาจะไม่คงสภาพอยู่ในรูปเดิมตลอด เนื่องจากคุณสมบัติทางเคมีของยาจะละลายไปผสมกับสารเคมีต่างๆ ในร่างกาย
เมื่อไปเจอกับองค์ประกอบทางเคมีอื่นๆ ในร่างกาย ก็จะทำปฏิกิริยากัน ยาก็จะเปลี่ยนรูปเป็นสารอื่นได้
“ตับ” เป็นอวัยวะที่มีบทบาทมากในการเปลี่ยนแปลงรูปของยา เมื่อยาถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด เลือดก็จะลำเลียงยามาสู่ตับด้วยเช่นเดียวกัน ตัวยาที่ผ่านตับแล้วจะเปลี่ยนสภาพ อาจจะเริ่มหมดฤทธิ์ (เตรียมขับถ่ายออก)
มีฤทธิ์เพิ่มขึ้น หรืออาจแปรสภาพเป็นพิษต่อร่างกายก็ได้เช่นกัน (ดังที่เห็นตามฉลากยาว่า “ไม่ควรกินไวอากร้า ยาตัวนี้เกิน…วัน เพราะจะมีผลต่อการทำงานของตับ” นั่นเอง)
ยาที่แตกตัวแล้วถูกดูดซึมเข้ากระแสะเลือด เปลี่ยนสภาพการออกฤทธิ์แล้ว ยาที่อยู่ปนในน้ำเลือดจะถูกลำเลียงไปทั่วร่างกาย แต่เมื่อเลือดพายามาถึงจุดที่เรามีอาการ (หรือจุดที่ยาต้องออกฤทธิ์) สมบัติทางเคมีในตัวยาจะออกฤทธิ์ในบริเวณที่เรามีอาการ
โดยทำปฏิกิริยากับบริเวณที่มีอาการของร่างกาย ซึ่งจะไประงับหรือยับยั้งอาการป่วยที่ร่างกายแสดงออกมา จากนั้นสมองจะสั่งการให้อาการป่วยที่ว่านั้นดีขึ้น จึงบรรเทาอาการเจ็บป่วยนั้นได้
ยกตัวอย่าง “ยาพาราเซตามอล” ที่หลายคนมักบ่นว่า ไม่ว่าจะไปหาหมอด้วยอาการใด หมอก็จะจ่ายยาพารามาให้เสมอ กลไกการทำงานของยาพาราเซตามอล เมื่อตัวยาถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือด ยาจะไปตอบสนองกับสารจากระบบประสาทส่วนกลาง (สารที่ทำให้เราเกิดอาการปวด)
สารเคมีในยาจะไประงับการทำงานของสารตัวนั้น อาการปวดจึงค่อยๆ ดีขึ้น เป็นเหตุผลว่าไม่ว่าเราจะปวดอะไรก็ตาม ยาพาราจึงเป็นยาที่ถูกจ่ายออกมาบ่อยๆ เพราะมันช่วย “ระงับอาการปวด” แต่ถ้ามีการวินิจฉัยที่ลึกกว่านั้นว่าไม่ใช่อาการปวดธรรมดา ยาพาราก็ไม่มีผลต่อการรักษา
ของที่กินเข้าไปก็ต้องถูกกำจัดออก
กลไกปกติของร่างกาย เมื่อเรากินเข้าไป จะต้องผ่านกระบวนการย่อยสลาย ดูดซึมสารเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ ส่วนกากหรือเศษที่เหลือจะต้องถูกกำจัดออกจากร่างกาย ซึ่งจะออกมาในรูปของของเสียอย่างอุจจาระหรือปัสสาวะ
ยาที่ละลายในน้ำได้ง่ายก็จะไม่เหลือกากในรูปของแข็ง แต่อยู่ในรูปของเหลว แล้วขับออกมาในรูปของปัสสาวะ ยาบางตัวถูกขับออกมาจากตับ ผ่านไปยังลำไส้เล็ก แล้วไปสิ้นสุดที่ลำไส้ใหญ่ (อวัยวะในขั้นตอนสุดท้ายของระบบย่อยอาหาร) แล้วปะปนออกมากับอุจจาระ (ตัวอย่างที่ชัดเจน คือ การกินธาตุเหล็กเสริมหลังบริจาคเลือด ที่ซองยาจะระบุว่ายานี้อาจทำให้อุจจาระเปลี่ยนสี นั่นเป็นหลักฐานว่ายาถูกขับถ่ายออกมากับอุจจาระ)
อย่างไรก็ตาม ต้องไม่ลืมว่ายาเป็นสารเคมี และร่างกายมองว่ายาเป็น “สิ่งแปลกปลอม” ซึ่งปกติแล้วร่างกายเราจะพยายามกำจัดสิ่งแปลกปลอมออก ทำให้สารเคมีของยาบางส่วนอาจถูกกำจัดไปก่อนที่จะได้ออกฤทธิ์รักษา จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับแพทย์ที่จ่ายยาต้องคำนวณปริมาณยาให้ถูกต้อง
โดยมีปัจจัย เช่น อายุ น้ำหนักตัว เพื่อให้ฤทธิ์ยาที่กินเข้าไปสามารถเดินทางไปถึงตับ และส่งไปยังส่วนที่ร่างกายจำเป็นต้องใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ